Review: พรจากฟ้า (2016) เขียนโดย Form Corleone

พรจากฟ้า (2016)



By Form Corleone



- ยามเย็น [คะแนน C]
คงต้องยอมรับว่าเป็นตอนที่ไม่ได้ประเด็นสาระอะไรเลย เหมือนไม่ได้ดูตอนนี้ด้วยซ้ำหลังหนังจบ ออกแนวหนังโฆษณาที่เล่นกันไปมาระหว่างคู่พระนาง บางฉากก็ทำให้กรี๊ดกร๊าดกับประโยคที่ประดิษฐ์มากเกินจนรู้สึกเบื่อแทนที่จะรู้สึกสนุกตาม 'วี-วิโอเล็ต' เล่นได้เป็นธรรมชาติดี ส่วน 'นาย-ณภัท' มาเพื่อโชว์ความหล่อกับโปรยเสน่ห์ได้เป็นธรรมชาติเหมือนกัน คู่นี้ก็ดูจะเหมาะกันดี จุดอ่อนมากถึงมากที่สุดคือบทภาพยนตร์ที่ไม่มีแก่นสารอะไรเลย เรียกว่าไม่มีสาระเลยด้วยซ้ำไป เหมือนดูหนังโฆษณาที่ตัดเป็นคำๆเป็นฉากๆ ไม่ปะติดปะต่อกัน หงุดหงิดมาก แม้ช่วงท้ายของตอนนี้จะช่วยให้อารมณ์ดีกลับมาก็ตาม ด้วยเสียงเพลงกับแสงไฟที่สบายตากับลื่นหูไปกับเสียงเพลง ผนวกท่าทางของตัวละครประกอบกับจังหวะดนตรี ก็พอจะช่วยให้รู้สึกใจชื่นขึ้นมานิดๆ แต่โดยรวมเป็นตอนที่เราไม่ชอบหนักไปทางเบื่อมาก ดูเอาขำๆก็พอไหวอยู่เหมือนกัน ประเด็นหนุ่มสาวรักแรกพบ ความสัมพันธ์ระหว่างกันจะอยู่ได้นานแค่ไหน??



- Still on My Mind [คะแนน B+]
'ถ้าวันหนึ่งเราตื่นมาแล้วพบว่าคนที่เรารักที่สุดจำเราไม่ได้ เราจะรู้สึกยังไง' ประเด็นระหว่างพ่อกับลูก นำเสนอในมุมมองของ 'ความทรงจำ' ย้ำมาเมื่อไหร่ก็เจ็บหัวใจเมื่อนั้น ด้วยพล็อตที่สะเทื่อนใจอยู่แล้ว+กับการแสดงของ 'มิว-นิษฐา' ให้อารมณ์ได้ดี จนทำให้เราร้องตามเลย ชอบลุคที่ดูเป็นธรรมชาติของตัวละครของตอนนี้ที่ไม่ได้ประดิษฐ์อะไรเยอะ น่าก็เกือบสดผมก็เป็นธรรมชาติ และทุกคนสามารถเข้าใจความรู้สึกของตัวละครได้เลยโดยไม่ต้องบรรยายอะไรมาก รู้สึกชอบมุมกล้องของตอนนี้นะ ชอบที่หนังถ่ายมุมกว้างแล้วตัดสลับมุมแคบ ทำให้เรารู้สึกว่า ณ ขณะที่ดูอยู่เราเป็นทั้งผู้สังเกตจากระยะไกล และบางครั้งก็เข้าไปใกล้ตัวละครในเรื่อง ดูแล้วคิดถึงพ่อขึ้นมาทันที 'ถ้าพ่อเราเป็นแบบนี้ เราจะทำยังไง หรือ เราจะทำได้ดีขนาดไหน' ถ้าจะมองให้เชื่อมกับตอนแรกนั้นสำหรับเราคือการมีชีวิตคู่ที่ยืนยาวของคนสองคน คนที่เขาอยู่ด้วยกันมานานเขาทำได้ยังไงนะ?? พ่อกับแม่เราที่อยู่ด้วยกันมาก่อนที่เราจะเกิดด้วยซ้ำเขาอยู่กับมาได้นานขนาดนั้นยังไง บางทีเราก็คิดว่าความรักนี้มันซับซ้อนนะ แต่พอมองดูแล้วมันอาจไม่ได้ซับซ้อนก็ได้ บางทีคนที่อยู่ด้วยกันมานานๆ อาจเป็นแค่การทำสิ่งง่ายๆร่วมกัน เช่น หวีผมให้กัน อาบน้ำถูหลัง ทำกับข้าวตอนเช้าๆ ชงกาแฟให้กัน เล่นดนตรีให้ฟัง อาจไม่ได้ดีเลิศไปทุกอย่าง แต่ก็พร้อมจะอยู่ข้างกันตลอด พร้อมจะยอมรับกันและกันในทุกๆเรื่อง ความสัมพันธ์ของพ่อกับแม่เรา อาจจะเป็นเรื่องง่ายๆ ทำนองนั้นก็ได้ และถ้าเราจำกันไม่ได้ในสักวันก็ใช่ว่าความรู้สึกจะหายไปที่ไหนกัน ถึงกระนั้นแล้วแม้พล็อตเรื่องจะดราม่าและสะเทือนใจได้ง่ายๆ เพื่อไม่ให้ดราม่าจนเกินไปการใส่ 'ซันนี่' เข้ามาก็เป็นข้อดีและข้อเสียพอๆกัน เพราะ ซันนี่เล่นได้เหมือนละครทีวีมากๆ แต่ก็พอขำๆกันไป ท้ายสุดตอนนี้คือตอนที่เราประทับใจที่สุดในสามตอน และคิดว่าเป็นตอนที่เอาใว้เชื่อมทั้งสามตอนเข้าด้วยกัน แม้จะเป็นการเชื่อมแต่ละตอนที่ดูตลกมากไปนิด



- พรปีใหม่ [คะแนน B]
ปิดท้ายให้ดูยิ่งใหญ่หน่อยละกัน ถ้าเทียบกับสองตอนแรก ตอนนี้คงถือเป็นตอนที่น่าจะใช้ทุนสร้างมากที่สุดแล้วมั๊ง เพราะขนตัวประกอบมาเยอะให้ดูครื้นเครงเข้าไว้ ดูสนุกๆ 'feel-good' แต่ก็มีประเด็นอะไรที่ชอบอยู่เหมือนกัน เกี่ยวกับ 'ความฝัน' หลายคนคงอิจฉาบางคนที่ได้ทำตามความฝันจนบ้างครั้งเราก็ละทิ้งความฝันของเราไปเพราะมองดูแล้วมันก็ไม่มีลู่วิ่งไปให้ถึงความฝันเลย แม้จะลงแรงไปแล้ว ทุ่มใจไปแล้วมันก็ไม่ไปไหนไกล ตอนนี้ถือเป็นแรงกระตุ้นใจให้ใครหลายคนรวมถึงตัวเราได้ดีเกี่ยวกับความฝันที่อยากจะทำ และด้วยบรรยากาศของพนักงานออฟฟิศที่อยากจะฟอร์มวงดนตรีขึ้นมา ก็อดคิดไม่ได้ว่า พวกเขาเหล่านั้นมีงานที่ต้องทำประจำกันอยู่แล้วแต่ก็ยังแบ่งเวลามาทำตามความฝัน ทำให้เราคิดว่า มันไม่มีหรอกคำที่ว่า 'ไม่มีเวลาทำตามความฝันของตัวเอง' มันมีก็แค่ 'ทำกับไม่ทำ' แค่นั้นเอง ดูพวกเขาเหล่านั้นสิ พวกเขามีความสุขที่ได้ทำความฝันของตัวเองมากแค่ไหน น่าคิดเหมือนกันนะ ในส่วนของ เต๋อ-ฉันทวิชช์ และ หนูนา-หนึ่งธิดา ก็ไม่ได้เล่นดีอะไรเพราะบทไม่ได้ส่งให้ต้องเล่นใหญ่อะไรมาก คงเป็นการจับคู่กันให้คนดูคุ้นตามากกว่า แต่เราชอบรอยยิ้มของ 'หนูนา' น่ารักดี ที่ชอบสุดๆคือ เพลงพระราชนิพนธ์ 'พรปีใหม่' ช่วยปิดม่านให้เรารู้สึกดีกับหนังเรื่องนี้และยิ้มได้สบายใจหลังดูจบ



ท้ายสุด 'พรจากฟ้า' เมื่อมองจากภาพรวมแล้วคงไม่ได้เป็นงานที่มีพัฒนาการอะไรที่ดีขึ้นหรืออาจมีบางมุมที่แย่ลงด้วยซ้ำ ถึงกระนั้นก็ตาม 'ข้อความ' ที่เราได้จากหนังเรื่องนี้ก็มีแง่มุมที่มีประโยชน์และเสริมสร้างกำลังใจให้ตัวเราเองหรือให้ใครหลายๆคนได้ไม่น้อยเหมือนกัน จะด้วยข้อจำกัดอะไรก็แล้วแต่ที่ทำให้รอยเชื่อมของทั้งสามตอนไม่สวยงามเท่าไหร่ แต่ถ้าวัดกันเป็นตอนๆ คงต้องบอกว่าแต่ละตอนนั้นมีส่วนดีอยู่เหมือนกัน เสียงเพลงยังคงช่วยให้เราผ่อนคลายได้เสมอ ตั๋วหนังราคาเพียง 99 บาท เราถือว่าคุ้มมาก ถ้าเทียบกับความรู้สึกหลังดูจบ และรายได้ส่วนหนึ่งก็สมทบทุนให้มูลนิธิชัยพัฒนาฯ อีกด้วย 'เมื่อวันที่เรารู้สึกท้อแท้ รู้สึกย้ำแย่ในชีวิต ลองหยุดพักลงสักนิดแล้วใช้หัวใจฟังเพลงดูสักครั้ง ฟังทุกคำทุกทำนอง เราว่ามันเพราะมากเลยนะ'

ขอให้มีความสุขกับการดูหนังครับ ยิ้ม

ฝากกด like page ด้วยนะครับ
Page: https://www.facebook.com/MoviesDelightClub/
Blog: http://moviesdelightclub.blogspot.com/
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่